การออมหุ้นหรือการ DCA คืออะไร? เพื่อนๆ คงจะงานได้ยินเพื่อนร่วมงานบอกว่าเค้า DCA หุ้นอยู่ 5 – 10% ของเงินเดือนอยู่ใช่ใหมครับ และการเริ่มต้นลงทุน DCA ควรเริ่มจากจุดไหนก่อน ในบทความนี้เราจะชี้แจงรายละเอียดแบบข้อๆให้เพื่อนเห็นภาพและเริ่มลงทุนได้อย่างง่ายดายเลยครับ
ออมหุ้น คืออะไร ?
การออมหุ้นคืออะไร? ทำความเข้าใจการออมหุ้น โดยทั่วไป ผู้เข้าร่วมการออมหุ้นคือการจัดสรรรายได้บางส่วนประมาณ 10% เพื่อซื้อหุ้นที่มีคุณสมบัติเหมาะสมหรือหุ้นที่ตัวเองสนใจ โดยพูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือการที่เราเอาเงินออกส่งไปยังบัญชีเดือนละเท่าๆกัน แล้วเราก็คัดสรรหุ้นที่เราสนใจหรือคิดว่ามีแนวโน้มเติบโตในอนาคตมา 3-10 ตัว หลังจากนั้นบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ก็จะเอาเงินที่เราฝากไว้ในบัญชีไปเฉลี่ยซื้อหุ้นที่เราเลือกไว้ โดยข้อดีของการออมหุ้นแบบนี้คือเป็นการกระจายความเสี่ยงและยังสามารถเลือกหุ้นได้ด้วยตนเองอีกด้วย
DCA คืออะไร ?
DCA คืออะไร? การลงทุนนั้นมีตัวเลือกหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นการลุงทุนแบบเงินก้อน เช่น ซื้อหุ้นไว้ 5 ตัวด้วยเงิน 100,000 แล้วทิ้งไว้ 5 ปีพอเรากลับมาเปิดพอร์ตก็จะเห็นว่าหุ้นนั้นเติบโตเพิ่มขึ้นเท่าใด
แต่สำหรับมนุษย์เงินเดือนหรือคนที่ยังไม่มีเงินก้อนสามารถใช้วิธีการ DCA ได้ โดย DCA คือ Dollar Cost Averaging พูดง่ายๆ DCA คือการที่เราทยอยนำเงินมาลงทุนในจำนวนเท่าๆกันในทุกๆเดือนโดยวิธีนี้ถือเป็นวิธีการที่นักลุงทุนนิยมกันอย่างแพร่หลาย ข้อดีคือไม่จำเป็นต้องหาเงินก้อนมาลงทุนโดยสามารถนำเงินบางส่วนของเงินเดือนหรือผลตอบแทนของกิจการบางส่วนมาลงทุน
สมมุติว่าเรานำเงินมาลงทุนทุกๆเดือนเป็นจำนวนเงิน 2,000 บาท โดยสมมุติว่าได้ค่าตอบแทนอยู่ที่ปีละ 10% แล้วลงทุนตั้งแต่อายุ 30 ปีจนถึงอายุ 50 ปี เมื่อเราอายุ 50 เงินในพอร์ตการลงทุนของเราก็จะมีทั้งหมด 1,374,600 บาท โดยเงินต้นที่เราลงทุนไปทั้งหมดคือ 480,000 บาท
ราคา “หุ้น”
ในปัจจุบันการเริ่มต้นซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ประเทศไทยนั้น กำหนดขั้นต่ำของการซื้อขายโดยเริ่มต้นซื้อขายครั้งละ 100 หุ้น เพราะฉะนั้นถ้าคุณจะทำการซื้อขายหุ้นจำเป็นต้องทำธุรกรรมในแต่ละครั้งมากกว่าหรือเท่ากับ 100 หุ้น โดยผมจะยกตัวอย่างราคาหุ้นบางส่วนที่เพื่อนุค้นเคยให้ดูตามตารางด้านล่างแล้วเพื่อนๆสามารถนำจำนวน 100 หุ้นมาคูณได้เลย ตัวอย่างเช่น ราคาหุ้น CPN ราคาอยู่ที่ 69 บาท การเริ่มต้นซื้อขายเพื่อนๆจำเป็นต้องมีเงินอยู่ในพอร์ตอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 6900 บาท
จำนวน “หุ้น” ในพอร์ต
นักลงทุนนิยมถือหุ้นตามที่ตัวเองถนัดรวมถึงจำนวนหุ้นที่นิยมถือกันในพอร์ต อย่างเช่นผมเป็นคนชอบเทคโนโลยีก็จะนิยมถือหุ้นเทคโนโลยีมากกว่าสินค้าโภคภัณฑ์ โดยหัวข้อจำนวนหุ้นในพอร์ตไม่มีการกำหนดตายตัวว่าควรถือกี่ตัว อันนี้แล้วแต่ความถนัดซึ่งทั้งสองแบบก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป
การลงทุนในหุ้นทีละตัว
• ข้อดี
ผู้ถือหุ้นสามารถติดตามความเคลื่อนไหวของหุ้นได้ง่ายและไม่ต้องใช้เวลาในการดูกราฟเยอะเพราะในพอร์ตมีหุ้นอยู่ไม่กี่ตัว ทำให้สามารถโฟกัสกับหุ้นในพอร์ตได้อย่างเต็มที่ รวมถึงการติดตามข่าวสารและงบการเงินได้เต็มที่
• ข้อเสีย
ในส่วนของข้อเสียของการลงหุ้นทีละตัว ถ้าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกี่ยวกับหุ้นที่ลงอยู่อาจทำให้เราเจ็บตัวได้เช่นกัน
การลงทุนหุ้นที่ละหลายๆตัว
• ข้อดี
การออมหุ้นหลายๆตัวก็เหมือนกับการที่เรามีตระกร้าที่มีไข่อยู่หลายใบหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นกับไข่บางใบทำให้ไข่นั้นแตกเช่นบริษัทล้มละลาย แต่เราก็ยังมีไข่เหลืออีกหลายใบทำให้ไม่ต้องกังวลกับไข่ใบที่แตกไป
• ข้อเสีย
ถ้าเรามีหุ้นตัวเดียวการดูงบการเงินหรือการติดตามข่าวสารของบริษัทนั้นๆก็คงไม่ยากมาก แต่ถ้าเรามีหุ้นอยู่หลายตัว ในการติดตามข่าวสารและการเช็คข้อมูลสำคัญต่างๆ รวมถึงการดูกราฟแบบ Technical ทำให้เราต้องเสียเวลาและพลังงานมากกว่าหุ้นตัวเดียวแน่นอน รวมถึงเงินทุนที่เราลงไปกับการลงทุนก็ต้องมีค่อนข้างมากระดับหนึ่งเพราะการกระจายความเสี่ยงไปในหุ้นหลายๆตัวเงินลงทุนของเราก็จำเป็นต้องกระจายด้วยเช่นกัน
หลักการของการออมหุ้น
ไม่น่าแปลกใจที่โลกแห่งการลงทุนอาจดูซับซ้อน นักลงทุนในปัจจุบันเผชิญกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงบ่อยครั้ง อุปทานที่ไม่มีที่สิ้นสุดของข่าวการตลาด และทางเลือกการลงทุนมากมาย
นักลงทุนสามารถปฏิบัติตามแนวทางใดบ้างเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป?
หลักการลงทุนที่ประสบความสำเร็จนั้นค่อนข้างง่าย ต่อไปนี้คือหลักการออมหุ้นทั้ง 3 ที่ช่วยให้คุณสามารถสร้างกลยุทธ์การออมหุ้นระยะยาวที่มีประสิทธิภาพซึ่งออกแบบมาเพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเงินของคุณ
1. ลงทุนเร็ว
การเริ่มต้นแต่เนิ่น ๆ เป็นวิธีที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งในการสร้างความมั่งคั่ง การออมหุ้นระยะเวลานานถือว่ามีประสิทธิภาพมากกว่าการรอจนกว่าคุณจะมีเงินออมหรือกระแสเงินสดจำนวนมากในการออมหุ้น นี่เป็นเพราะพลังทวี โดยพื้นฐานแล้ว
2. ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ
การลงทุนอย่างสม่ำเสมอมีความสำคัญพอๆ กับการเริ่มต้นแต่เนิ่น ๆ ด้วยวิธีนี้ การลงทุนยังคงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับคุณตลอดทั้งปี ไม่ใช่แค่ภายในกำหนดเวลาที่แน่นอน เช่น กำหนดเวลาการบริจาคประจำปี การมีระเบียบวินัยสามารถช่วยให้คุณสร้างความมั่งคั่งได้มากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป
3. ลงทุนให้เพียงพอ
การบรรลุเป้าหมายทางการเงินระยะยาวของคุณเริ่มต้นด้วยการออมที่เพียงพอในวันนี้ การออมเพื่อเป้าหมายสำคัญ เช่น บ้าน หรือการเกษียณ ต้องใช้ความคิดและการตัดสินใจที่สำคัญ สิ่งสำคัญคือต้องรู้ว่าคุณต้องเริ่มเก็บออมเท่าไหร่ในวันนี้เพื่อให้มีพอร์ตการลงทุนที่เพียงพอสำหรับเป้าหมายในอนาคตของคุณ
ข้อดีของการออมหุ้น
1. ผลตอบแทนระยะยาวที่ดีกว่า
ในอดีต ตลาดหุ้น (ทั้งไทยและต่างประเทศ) ให้ผลตอบแทนที่ดีแก่นักลงทุนเมื่อเวลาผ่านไปสักระยะ ประโยชน์หลักประการหนึ่งของการออมหุ้นคือโอกาสที่จะเพิ่มความอดทน เฝ้าดูเงินของคุณเติบโต แม้ว่าราคาหุ้นแต่ละตัวจะขึ้นๆ ลงๆ ทุกวัน แต่ตลาดหุ้นโดยรวมมีแนวโน้มเติบโตในมูลค่า
2. เงินปันผลรับ
เงินปันผลที่บริษัทจ่ายให้นั้นเป็นส่วนหนึ่งของผลกำไรที่เป็นแหล่งรายได้ของผู้ถือหุ้นหลายราย โดยปกติการจ่ายเงินปันผลจะจ่ายทุกไตรมาส แต่ไม่ใช่ทุกบริษัทที่จ่ายเงินปันผล พวกเขาอาจตัดสินใจนำกำไรนี้กลับคืนสู่บริษัทอีกครั้ง เงินปันผลเป็นวิธีที่บริษัทต่างๆ ในการกระจายผลกำไรส่วนหนึ่งไปยังผู้ถือหุ้น แม้ว่าหุ้นจะมีมูลค่าลดลงก็ตาม
ข้อเสียของการออมหุ้น
• หุ้นที่มีอยู่สำหรับการออมหุ้นมักไม่ใช่หุ้นที่ดีเสมอไป
โดยปกติแล้วการออมหุ้นจะมีนักเคราะห์เก่งๆหลายๆคนออกแบบและวิเคราะห์หุ้นเพื่อหาหุ้นตัวที่ดีที่สุดมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอนาคตหุ้นที่นักวิเคราะห์เลือกมาจะเป็นหุ้นที่ดีที่สุดตลอดไป โดยทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพวะเศรษฐกิจต่างๆ แต่ก็พอไว้ใจได้ในระดับหนึ่ง
• มีตัวเลือกหุ้นในการออมไม่มาก
โดยการออมหุ้นแต่ละโบรกเกอร์ก็จะมีการจัดสรรหุ้นให้เราเลือกออมโดยหุ้นที่เลือกออมนั้นจะไม่หลากหลายเท่ากระดานเทรดหุ้น ตรงนี้คือจุดสำคัญเพราะถ้าเราไปคัดหุ้นที่เราสนใจมาแล้วและคิดว่าหุ้นตัวนี้อีก 5 ปีมีอนาคตที่สดใสแน่แต่ในโบรกเกอร์ไม่มีให้เลือกออม จะทำให้นักออมหุ้นรู้สึกเฟลได้
นักลงทุนในตลาดหุ้นมีกี่ประเภท
นักลงทุนในตลาดหุ้นไทย ปัจจุบันสามารถแบ่งได้ 3 ประเภทคือ
1. นักลงทุนสายพื้นฐาน (Value Investor) หรือ VI
นักลงทุนประเภทนี้จะเน้นไปที่พื้นฐานของหุ้นตัวนั้นๆเป็นหลัก เช่น งบการเงิน, ธุรกิจของบริษัท, อัตราส่วนทางการเงิน (Ratio), กระแสเงินสด, การหามูลค่าที่แท้จริงของหุ้น (Fair Price), และสุดท้ายคู่แข่งของธุรกิจมีมากน้อยแค่ไหน
2. นักลงทุนสายเทคนิค (Technical)
ในมุมของนักลงทุนสายเทคนิคแล้วพื้นฐานของหุ้นไม่ใช่ปัจจัยในการตัดสินใจซื้อหรือขายหุ้นนั้นๆ โดยนักลงทุนกลุ่มนี้จะโฟกัสไปที่ปัจจัยทางเทคนิคเป็นหลัก โดยปัจจัยต่างๆที่นักลุงทุนกลุ่มนี้ใช้ในการตัดสินใจคือ กราฟ, Indicator ต่างๆที่ใช้ในการตีเส้นหรือดูแนวโน้มต่างๆเช่น EMA, MACD, RSI เป็นต้น
3. นักลงทุนแบบผสมเทคนิคและพื้นฐาน (Hybrid)
นักลงทุนกลุ่มนี้จะดูปัจจัยทั้งสองอย่างของนักลงทุนพื้นฐานและนักลงทุนเทคนิค เช่น ธุรกิจของหุ้น , งบการเงิน, อัตราส่วนทางการเงิน (Ratio), และหามูลค่าที่แท้จริงรวมทั้งดูปัจจัยทางเทคนิค (Technical) ร่วมด้วย โดยนักลงทุนกลุ่มนี้ประสิทธิภาพในการเทรดหุ้นของเค้าจะได้เปรียบกว่ากลุ่มอื่นๆ
ลงทุนแล้วได้อะไร
ผลประโยชน์จากการกระจายการลงทุนและสภาพคล่องตลาดหุ้นเสนอเครื่องมือทางการเงินที่แตกต่างกัน เช่น หุ้น พันธบัตร กองทุนรวม และอนุพันธ์ ซึ่งเสนอหลักทรัพย์ที่หลากหลายให้นักลงทุนลงทุนตามความเสี่ยงและเป้าหมายทางการเงิน การออมหุ้นที่หลากหลายตัวยังช่วยกระจายความเสี่ยงได้ดี เนื่องจากช่วยลดความเข้มข้นของพอร์ตการลงทุนของคุณ ความยืดหยุ่นนี้เป็นประโยชน์ในการลดความเสี่ยงในการลงทุนในหุ้นโดยช่วยให้กระจายพอร์ตการลงทุนและชดเชยความเสี่ยงด้านตลาด พอร์ตโฟลิโอที่กระจายตัวดีช่วยสร้างความมั่งคั่งโดยใช้ประโยชน์จากการเติบโตในภาคส่วนต่างๆ ของเศรษฐกิจ ส่งผลให้มีกำไรแม้ว่าหุ้นบางตัวจะสูญเสียมูลค่า
ทำไมต้องลงทุนให้เร็วและทำอย่างสม่ำเสมอ
1. ลงทุนเร็ว
การเริ่มต้นแต่เนิ่น ๆ เป็นวิธีที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งในการสร้างความมั่งคั่ง การออมหุ้นระยะเวลานานถือว่ามีประสิทธิภาพมากกว่าการรอจนกว่าคุณจะมีเงินออมหรือกระแสเงินสดจำนวนมากในการออมหุ้น นี่เป็นเพราะพลังทวี โดยพื้นฐานแล้ว คุณจะเติบโตไม่เพียงแค่จำนวนเงินเริ่มต้นที่คุณลงทุนเท่านั้น แต่ยังเติบโตจากดอกเบี้ยสะสม เงินปันผล และกำไรจากเงินทุนอีกด้วย ยิ่งคุณลงทุนนานเท่าไหร่ก็ยิ่งมีเวลามากขึ้นสำหรับผลตอบแทนการลงทุนของคุณ
2. ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ
การลงทุนอย่างสม่ำเสมอมีความสำคัญพอๆ กับการเริ่มต้นแต่เนิ่น ๆ ด้วยวิธีนี้ การลงทุนยังคงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับคุณตลอดทั้งปี ไม่ใช่แค่ภายในกำหนดเวลาที่แน่นอน เช่น กำหนดเวลาการบริจาคประจำปี การมีระเบียบวินัยสามารถช่วยให้คุณสร้างความมั่งคั่งได้มากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป เมื่อคุณลงทุนเป็นประจำ คุณสามารถผ่อนคลายในตลาดประเภทใดก็ได้ (เพิ่มขึ้น ลดลง ทรงตัว) คุณไม่ต้องกังวลกับการพยายามหาเวลาที่เหมาะสมในการลงทุน เพียงลงทุนด้วยจำนวนเงินคงที่เป็นประจำ คุณสามารถซื้อหน่วยลงทุนเพิ่มเติมเมื่อราคาต่ำ และหน่วยลงทุนน้อยลงเมื่อราคาสูง สิ่งนี้สามารถลดต้นทุนเฉลี่ยของการลงทุนของคุณได้ในระยะยาว การลงทุนด้วยเงินจำนวนเล็กน้อยอย่างต่อเนื่องสามารถช่วยให้ผลตอบแทนราบรื่นขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป และลดความผันผวนของพอร์ตโดยรวม
มีเงิน 1,000 บาท เริ่มต้นลงทุนอะไรดี
เมื่อเราเห็นข้อดีต่างๆของการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นการออมหุ้นหรือซื้อหุ้นสามารถเลือกตามที่เราถนัดได้เลย แต่คำถามคือ หากเราจะเริ่มต้นด้วยการลงทุนเดือนละ 1,000 บาทสามารถซื้ออะไรได้บ้างไปดูกันเลย
สรุป
สุดท้ายนี้เพื่อนๆคงเข้าใจถึงวิธีการออมหุ้นหรือการ DCA หุ้นไปไม่มากก็น้อย จะเห็นว่าเทคนิคต่างๆเป็นวิธีทีเรียบร้อยและสามารถเริ่มต้นได้เลยแค่เจียดเงิน 10% ของเงินเดือนมาลงทุนหุ้นที่เราสนใจในทุกๆเดือนโดยมีเป้าหมายอย่างแน่วแน่ แค่นี้ในวัยเกษียณเราก็ไม่ต้องลำบากลูกหลานแล้วครับ